REGISTER MEMBER

สมัครฟรีผ่านหน้าเว็บไซต์
ติดต่อทีมงานผ่าน Call Center,
Line Live Chat

TRANFER MONEY

แจ้งข้อมูลการโอนเงิน
และชื่อผู้โอนได้ทุกช่องทาง

SMS CONFIRM

รอรับ ไอดี และ พาสเวร์ด
ทาง SMS ไม่เกิน 10 นาที

ศาลปัดอุทธรณ์ 'นิว บาลานซ์' คดีสิทธิ์เสื้อแข่ง

ลิเวอร์พูล เตรียมเดินเครื่องร่วมมือกับ ไนกี้ ได้อย่างเต็มที่แล้ว หลังศาลสูงเมืองผู้ดีตัดสินปัดคำอุทธรณ์จาก นิว บาลานซ์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นั่นทำให้ "หงส์แดง" เตรียมยุติ 7 ปีที่ร่วมมือกับพวกเขาหลังจบฤดูกาล 2019/20

ศาลปัดอุทธรณ์ 'นิว บาลานซ์' คดีสิทธิ์เสื้อแข่ง

นิว บาลานซ์ บริษัทผลิตภัณฑ์กีฬาสัญชาติอเมริกัน หมดหวังที่จะได้เป็นผู้ผลิตชุดแข่ง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล อีกต่อไป หลังจากที่ ศาลสูงในประเทศอังกฤษตัดสินใจปัดคำยื่นอุทธรณ์ของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

    "เอ็นบี" (NB) เซ็นสัญญาเป็นผู้ทำชุดแข่งให้ ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่ายจะหมดลงหลังจบฤดูกาลนี้ และทาง ลิเวอร์พูล ก็ตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญากับพวกเขาโดยหันไปจับมือกับ ไนกี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ยอมแพ้ และอ้างว่ามีเงื่อนไขที่จะให้ข้อเสนอที่ดีที่สุดเท่ากับของคู่แข่งทุกเจ้าที่ต้องการพราก "หงส์แดง" ไปจากพวกเขา และตัดสินใจเอาเรื่องนี้ไปฟ้องกับศาล


หลังจากทำการพิจารณาคดีไป 3 วันแล้วนั้น ศาลก็ตัดสินให้ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายชนะ เพราะมองว่าข้อเสนออันใหม่บางด้านของ นิว บาลานซ์ ไม่ดีเท่ากับของ ไนกี้ กระนั้น บริษัทผลิตภัณฑ์กีฬาเลือดมะกัน ได้ยื่นอุทธรณ์เพื่อหวังที่จะได้สิทธิ์ในการเป็นผู้ผลิตชุดแข่งของ "เดอะ เร้ดส์" ต่อไป

    อย่างไรก็ตาม ศาลสูงเมืองผู้ดี ได้ปัดคำอุทธรณ์ของ นิว บาลานซ์ เรียบร้อยแล้ว นั่นทำให้ เจ้าของแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 6 สมัย จะยุติความสัมพันธ์ 7 ปีระหว่างพวกเขาแน่นอนหลังจากที่จบฤดูกาล 2019/20 และมีอิสระอย่างเต็มที่ในการร่วมมือกับ ไนกี้

    ทั้งนี้ ลิเวอร์พูล กับ ไนกี้ จะทำสัญญาร่วมมือกันเป็นเวลา 5 ปีโดยมีมูลค่า 30 ล้านปอนด์ (ราว 1,140 ล้านบาท) ต่อปี อย่างไรก็ตามจำนวนเงินอาจจะเพิ่มสูงมากกว่าสองเท่าเนื่องจาก ไนกี้ จะให้ส่วนแบ่ง 20 เปอร์เซนต์จากการขายสินค้าทั้งหมด ตามด้วยเงินอีก 2 ล้านปอนด์ (ราว 76 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าลิขสิทธิ์สินค้าต่อฤดูกาล และยังมีโบนัสจากผลงานในสนาม ฉะนั้นรวมตัวเลขแล้ว "หงส์แดง" จะได้เงินเพิ่มเกือบ 70 ล้านปอนด์ (ราว 2,660 ล้านบาท)